วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

เผยแพร่ผลงานวิชาการ

ชื่อเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนรูปแบบมัลติมีเดีย กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เรื่อง ร่างกายมนุษย์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชื่อผู้วิจัย นางสาวอภันตรี อ่อนละมูล ปีที่วิจัย 2555 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์1) เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ร่างกายมนุษย์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ร่างกายมนุษย์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ร่างกายมนุษย์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนเทศบาลวัดไทรอารีรักษ์ (มณีวิทยา) อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ปีการศึกษา 2554 จำนวน 41 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบยกชั้น (Custer Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ร่างกายมนุษย์ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ร่างกายมนุษย์ และแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยใช้ดัชนีความสอดคล้องของความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ หาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยวิธี E1/ E2 หาความเชื่อมั่นของแบบวัดความพึงพอใจด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค หาความยากง่ายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียน เรื่อง ร่างกายมนุษย์ ด้วยเทคนิค 25 % กลุ่มสูง – กลุ่มต่ำ หาความเชื่อมั่นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียน เรื่อง ร่างกายมนุษย์ ด้วยสูตร KR – 20 เปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการทดสอบที (t-test) การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดยใช้ค่า ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ร่างกายมนุษย์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเท่ากับหา 82.74/83.84 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากที่ได้รับการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ร่างกายมนุษย์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อของนักเรียนต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ร่างกายมนุษย์ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด = 4.63 และ S.D. = 0.54 พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดทุกข้อ ยกเว้นข้อ 4 และข้อ 8 มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

เผยแพร่ผลงานวิชาการ เรื่องชื่อเรื่อง สภาพปัจจุบัน ปัญหา ความต้องการและแผนการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โรงเรียนเทศบาลวัดชัยชุมพล เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช

บทคัดย่อ ชื่อเรื่อง สภาพปัจจุบัน ปัญหา ความต้องการและแผนการบริหารจัดการ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โรงเรียนเทศบาลวัดชัยชุมพล เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้วิจัย นายการุญ ปัญจะสุวรรณ์ ปีที่วิจัย 2553 วัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา ความต้องการและแผนการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโรงเรียนเทศบาลวัดชัยชุมพล เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) เพื่อจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารโรงเรียนเทศบาลวัดชัยชุมพล เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ บุคลากรโรงเรียนเทศบาลวัดชัยชุมพล เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ ครู จำนวน 58 คน ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 17 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง และนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 จำนวน 248 คนได้มาจากการเปิดตารางแสดงจำนวนประชากรและจำนวนกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน ปัญหา และแผนการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 2) แบบสัมภาษณ์ปัญหา ความต้องการเพื่อเก็บข้อมูลจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3) แบบบันทึกข้อมูลการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 4) แบบประเมินแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยที่พบ 1. ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโรงเรียนเทศบาลวัดชัยชุมพล เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ของครู ผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า มีการดำเนินการอยู่ในระดับมากที่สุด จำนวน 1 ด้าน คือ ด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและการบริการทางการศึกษา (ค่าเฉลี่ย = 4.59 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.65) มีการดำเนินการอยู่ในระดับมาก จำนวน 3 ด้าน คือ 1) ด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (ค่าเฉลี่ย = 4.34 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.61) 2) ด้านการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3) ด้านการจัดหาอุปกรณ์และพัฒนาเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ค่าเฉลี่ย = 4.17 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.53) ส่วนด้านการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ในการเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์มีการดำเนินการอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย = 3.49 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.94) ส่วนนักเรียนมีการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน เพียง 2 ด้าน นักเรียนมีความคิดเห็นว่ามีการดำเนินการอยู่ในระดับมากทั้ง 2 ด้าน คือ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (ค่าเฉลี่ย = 4.24 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.48) และด้านการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ในการเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์ (ค่าเฉลี่ย = 3.51ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.93) ปัญหา สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ครูบางส่วนขาดทักษะในการใช้สื่อ อุปกรณ์ ขาดเจ้าหน้าที่ในการดูแลอยู่ประจำภายในศูนย์การเรียนรู้และห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ขาดบุคลากรและช่างเทคนิคในการดูแล ซ่อมแซม บำรุงรักษา และให้บริการแก่ชุมชนค่อนข้างน้อย เพราะส่วนใหญ่ใช้ห้องสำหรับจัดการเรียนการสอน ขาดการนิเทศ กำกับติดตามที่ต่อเนื่อง หลังจากครูเข้ารับการอบรมแล้วไม่นำความรู้ที่ได้รับมาใช้ในการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน ความเร็วของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตต่ำ ความต้องการ ควรมีการประสานงานกับหน่วยงาน องค์กร ชุมชนให้เข้ามาสนับสนุนอุปกรณ์ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้มีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการในการใช้งาน ส่งเสริมสนับสนุนให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้กับครู และส่งเสริมให้ครูผลิตสื่อ นวัตกรรมการเรียนการสอนด้วยตนเอง ควรขยายห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ให้มากขึ้น จัดให้มีเจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์และจัดให้มีช่างเทคนิคในการดูแล ซ่อมแซมบำรุงรักษาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งปรับความเร็วของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อรองรับการใช้สื่อ นวัตกรรมในยุคปัจจุบัน 2. ผลการพัฒนาแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีขั้นตอนการดำเนินการเริ่มจากแต่งตั้งคณะกรรมการแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หลังจากจากนั้นวิเคราะห์สถานภาพองค์กร เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ให้สอดรับกับภาพรวมขององค์กร กำหนดพันธกิจ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ แผนงาน/กิจกรรม การบริหารจัดการและการติดตามประเมินผล และขั้นสุดท้ายเขียนแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและนำเสนอผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ใบงานที่ 14

ใบงานที่ 14
1. จุดเด่นจุดด้อยและข้อเสนอแนะในการใช้ (เว็บล็อก)Weblogหรือบล็อก(Blog) Blogspot.com
2. เปรียบเทียบ Blogspot.com กับ Blog Go to Know เป็นข้อ ๆ
3. ให้นักศึกษาทำWebLinK ของ Web GOTOKNOW ของนักเรียนลง บนฺบล็อก Blogspot.com
การสร้าง blog เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ข้อมูลส่วนตัว หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ นับว่ามีความสำคัญและจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าต้องการประชาสัมพันธ์ด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น พัฒนาเว็บไซต์เอง อาจจะต้องใช้เวลามาก ฉะนั้นการการสร้าง blog จึงมีผู้นิยมสูง ซึ่งอาจเป็นเพราะ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (ส่วนใหญ่) ใช้งานง่าย โดยผู้เขียนไม่ต้องมีความรู้เรื่องการเขียนเว็บไซต์ด้วยโปรแกรมภาษา หรือโปรแกรมสำเร็จรูปใดๆ เลยก็ย่อมได้ สามารถปรับแต่ง แก้ไขได้ง่าย บนหน้าจอ ณ เวลานั้นเลย แต่หากจะมีความรู้เรื่องภาษา Html ก็จะยิ่งดีมากๆเพื่อช่วยในการปรับแต่งในขั้นลึกยิ่งขึ้น
ประโยชน์ของ Blog นั้นมีมากมายกว้างขวางยิ่งกว่า ไดอารี่ หรือบันทึกส่วนตัวทั่วๆไป

จุดเด่นในการใช้ (เว็บบล็อก)Weblogหรือบล็อก(Blog) Blogspot.com

1. เป็นสื่อที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้เขียนในเรื่องต่างๆที่เสนอให้ผู้ที่
สนใจรับรู้
2. สามารถปรับแต่ง แก้ไขได้ง่ายบนหน้าจอตามที่ต้องการได้
3. สามารถนำเสนอสื่อมัลติมิเดีย เช่น วีดีโอ สไลด์ เพลง รูปภาพ ได้หลากหลาย
4. เป็นแหล่งรวมความรู้ที่หลากหลาย เผยแพร่และเข้าถึงได้ง่าย
5. เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์งานต่าง ๆ เสนอข่าวสารความเคลื่อนไหวของ
องค์กรได้
6. เป็นแหล่งเก็บข้อมูล ที่ทันสมัย ใช้ส่งข้อมูล หรือติดต่อสื่อสาร ออนไลน์
7. ทำให้ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน เพราะข่าวสารความรู้ มาจากผู้คนมากมาย
(ทั่วโลก) และมักจะเปลี่ยนแปลงได้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบันเสมอ

จุดด้อยในการใช้ (เว็บบล็อก)Weblogหรือบล็อก(Blog) Blogspot.com
1. . เครื่องมือที่ใช้มีหลากหลายยังศึกษาได้ไม่ครบทุกตัว ทำให้พัฒนาได้ไม่เต็มที่
2. blogspot.com จำเป็นจะต้องศึกษาโปรแกรมอื่นเพิ่มเติมเพื่อได้ใช้งานร่วมกัน
เปรียบเทียบ Blogspot.com กับ Blog Go to Know
3. blogspot สามารถตกแต่ง blog ได้หลากหลาย สามารถใส่คลิปเพลง คลิปวีดีโอ และลูกเล่นต่างๆ ได้ เยอะ ทำให้มีความน่าสนใจมาก เปิดโอกาสให้เจ้าของ blog ได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ได้เต็มที่ ส่วนGotokhow ไม่สามารถตกแต่ง blog ได้มาก
4. blogspot ข้อความจะปรากฏเฉพาะใน blog ตัวเองเท่านั้น ส่วนGotokhow เมื่อบันทึกบทความแล้ว นอกจากข้อความจะปรากฏใน blog ตัวเองแล้วยังปรากฏใน blog กลางของ gotokhow ด้วย
5. blogspot ผู้เข้าไปใช้งานจะมีความหลากหลาย ส่วนGotokhow ผู้ใช้งานมักค้นหางานวิชาการหรือเผยแพร่บทความ
6. Gotokhow เป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้ เผยแพร่ความรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ เป็นเครื่องมือค้นหาผู้ชำนาญการ และสามารถแยกแยะประเภทของความรู้และสร้างความสัมพันธ์ของความรู้ โดยเจ้าของบล็อกสามารถจัดกลุ่มบันทึกแต่ละบันทึกด้วยคำหลักซึ่งแทนแก่นความรู้สำคัญของบันทึกนั้นๆ ซึ่ง blogspot ไม่มีบันทึกคำหลัก ไม่มีการจัดกลุ่มบันทึก มีแต่ชื่อเรื่อง และป้ายกำกับ
ท้ายที่สุดแล้วการจะสร้าง blog ด้วย ค่ายใดก็แล้วแต่ ถ้าเรานำเสนอข้อมูลที่ดี มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์ ก็จะเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มากได้อย่างไม่ยากนัก

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ใบงานที่ 13

ใบงานที่ 13
นายการุญ ปัญจะสุวรรณ์
รหัส 5246701070 ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

โครงการพัฒนานักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
กิจกรรมศึกษาดูงานด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา
ภาคกลาง – ภาคอีสาน วันที่ 17 - 22 มกราคม 2553
การได้ศึกษาดูงานครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสดีครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของกระผมที่ ได้ศึกษาเรียนรู้ วิธีชีวิต รูปแบบการบริหารจัดการศึกษา การปกครอง ซึ่งนับได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ควรค่าแห่งการจดจำ ซึ่งสรุปได้ ดังนี้

1) การศึกษาดูงานโรงเรียนอนุบาลหนองคาย
โรงเรียนอนุบาลหนองคายเปิดสอนในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งสิ้น 2,002 คน 49 ห้องเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหนองคาย เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โทร 042-411051 www.anubannk.org
ผลงานของโรงเรียนอนุบาลหนองคาย
1. โรงเรียนรางวัลพระราชทานระดับประถมศึกษา
2. โรงเรียนผู้นำการเปลี่ยนแปลง
3. โรงเรียนต้นแบบการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
4. โรงเรียนต้นแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย
5. โรงเรียนวิถีพุทธ
6. โรงเรียนส่งเสริมสุภาพ
7. โรงเรียนดีศรีหนองคาย
ซึ่งในการเข้าเยี่ยมชมในครั้งนี้ผู้บริหารได้มาต้อนรับและทำการบรรยายถึงยุทธวิธีการบริหารโรงเรียนให้ประสบความสำเร็จอย่างมีคุณภาพ ผู้บริหารใช้เทคนิคเร้าพลังให้ครูจะต้องมี best Practice ในแต่ละคนจะมีผลงานที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนมานำเสนอทุกคน ทำให้ครูได้พัฒนาตนเอง จนได้ คศ.3 ทุกคน




2) การศึกษาดูงานประเทศลาว
ได้มีโอกาสเข้าสู่ประเทศลาวซึ่งเป็นบ้านพี่เมืองน้องของไทย ประชากรน้อยมีแค่ 9 ล้านคน ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 5:1 ผู้หญิงจะไม่ค่อยแต่งงาน วิถีชีวิตของคนลาวมีส่วนคล้ายคลึงกับประเทศไทยมากแต่ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้ามากกว่า คนลาวมีวิถีชีวิตที่ค่อนข้างเรียบง่าย ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง อยู่อย่างพอมีพอกิน จะไม่เป็นหนี้ และในประเทศลาวจะไม่ค่อยมีตำรวจจะไม่มีคดี โจรผู้ร้ายไม่มี จะอยู่แบบสังคมที่สงบสุข มีการอนุรักษ์วัฒนธรรมอย่างชัดเจน คือ นักเรียน นักศึกษาจะนุ่งผ้าซิ่น ในแต่ละบ้านจะปักธงชาติทุกหลังเพื่อให้เห็นถึงความรักชาติ

3) การศึกษาดูงานที่หมู่บ้านงูจงอาง
ที่บ้านโคกสง่า ตำบลทรายมูล ได้ร่วมดูการแสดงคนกับงูจงอาง การจูหัวงู การอมหัวงู การนำงูเข้าในในกางเกง ซึ่งเป็นการแสดงที่ค่อนข้างอันตรายคนที่ไม่มีประสบการณ์จะลองทำไม่ได้ เป็นสังคมชนบทอยู่มาก มีการหาสมุนไพรมาขายหลากหลาย และได้รับการต้อนรับที่ดีจากชุมชนที่นั้นเป็นอย่างดี

4) การศึกษาที่จังหวัดเพชรบุรี ณ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
ได้ไปเยี่ยมชมทิวทัศน์รอบเขื่อน โดยนั่งเรือดูรอบๆ เขื่อนสวยงามมาก ได้ร่วมรับประทานอาหารร่วมกันในตอนเย็นมีการทำกิจกรรมกลุ่มสังสรรค์ ร้องเพลง เต้นรำตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
- ผลการเรียนที่ความคาดหวังไว้ แล้วแต่ความเหมาะสมครับ สำหรับตัวกระผมเองนั้น มีพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอยู่บ้างพอสมควร และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในโรงเรียนได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งกระผมกำลังสนใจในเรื่องการถ่ายทอดทีวีผ่านเว็บไซต์ ซึ่งได้นำเรียนปรึกษาอาจารย์ครั้งหนึ่งแล้ว โอกาสข้างหน้าคงจะได้ปรึกษาหารืออาจารย์อีนะครับ

ใบงานที่ 12

ใบงานที่ 12
นายการุญ ปัญจะสุวรรณ์
รหัส 5246701070 ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

ให้สรุปการนำเสนอโปรแกรม SPSS OF WINDOWS ในวันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2552
ตามที่ได้เรียนรู้ ส่วนประกอบหลักของ

ส่วนประกอบหลักของ
SPSS FOR WINDOWS
-Title Bar บอกชื่อไฟล์
-Menu Bar คำสั่งการทำงาน
-Cell Editor กำหนดค่าตัวแปร
-Cases ชุดของตัวแปร
-Variable กำหนดชื่อตัวแปร
-View Bar มีสองส่วน
--Variable View
สร้างและแก้ไขโครงสร้างตัวแปร
--Data View
เพิ่มและแก้ไขตัวแปร
-Status Bar แสดงสถานการณ์ทำงาน
เปิด SPSS Data Editor
File -> New -> Data
กำหนดชื่อและรายละเอียด
จากหน้าจอ Variable View
ป้อนข้อมูล Data View
บันทึกข้อมูล
File -> Save
การกำหนดชื่อและรายละเอียดตัวแปร
ที่หน้าจอ SPSS Data Editor เรียกหน้าจอ Variable View ทำได้ 2 วิธี
1. ดับเบิลคลิกตรงคอลัมน์ของบรรทัดแรก
2. คลิกแถบ Variable View ที่อยู่ด้านล่าง
เมื่อได้หน้าต่างของ Variable View
1. Name ชื่อตัวแปร ให้พิมพ์ตรงคอลัมน์ Name เช่น Sex
2. Type ประเภทของตัวแปร
เลือก Numeric Width=1 Decimal Places=0 คลิกปุ่ม OK
3. Label กำหนดข้อความขยายชื่อตัวแปร เพื่ออธิบายชื่อตัวแปรและแสดงออกทางผลลัพธ์
ให้พิมพ์ตรงคอลัมน์ Label เช่น เพศ
4. Values กำหนดคำอธิบายให้กับค่าตัวแปร
5. Missing กำหนดค่าที่ไม่นำไปวิเคราะห์ มี 2 แบบ
5.1 User Missing ผู้วิจัยเป็นผู้กำหนด เช่น 9, 99, 999, …
5.2 System Missing โปรแกรมจะกำหนดให้เอง
6. Column จำนวนความกว้างของคอลัมน์ คือจำนวนความกว้างมากสุดของ ค่าตัวแปร หรือ ชื่อตัวแปร หรือ label ตัวแปร
จากตัวอย่าง ชื่อตัวแปร และ label ตัวแปร มีความกว้างมากสุดเท่ากับ 3
ให้พิมพ์ 4 (ความกว้างมากสุดเท่ากับ 3 บวกเผื่อไว้ 1)
7. Align ให้แสดงค่าตัวแปร ชิดซ้าย กึ่งกลาง ชิดขวา
8. Measure ระดับการวัดของข้อมูล
7.1 Scale (Interval, Ratio)
7.2 Ordinal
7.3 Nominal
ให้กำหนดชื่อและรายละเอียดของตัวแปรให้ครบทุกตัว
การวิเคราะห์ข้อมูล
1. คลิกที่เมนู Analyze เลือก Descriptive Statistic และเลือก Frequencies
2. จากนั้นเราจะได้กรอบ Frequencies
กรอบ Frequencies ทางช่องซ้ายมือเป็นตัวแปรต่างๆ ที่ได้จากแบบสอบถาม ทางช่องขวามือจะเป็นส่วนเลือกตัวแปรเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
3. เราจะเลือกตัวแปรโดยการคลิกที่ตัวแปรที่ต้องการวิเคราะห์ทางซ้ายมือ จากนั้นคลิกปุ่มเลือก(สามเหลี่ยมสีดำ)ตัวแปรที่ต้องการวิเคราะห์ก็จะตกไปอยู่ทางช่องขวามือ ในที่นี้ให้เลือกทั้งหมดทุกตัวแปร
4.คลิกปุ่ม Statistics แล้วจะได้กรอบ Frequencies Statistics
5. เลือกประเภทการวิเคราะห์ข้อมูล ในที่นี้เราจะวิเคราะห์ Central Tendency และ Dispersion โดย
ส่วน Central Tendency เลือก Mean, Median, Mode, Sum และส่วน Dispersion เลือก Std. deviation, Minimum, Maximum
เลือกเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คลิกปุ่ม Continue
เมื่อคลิกปุ่ม Continue จะกลับมาที่กรอบ Frequencies Statistics
6. ต่อไปให้คลิกปุ่ม Charts จะได้กรอบ Frequencies Charts
ในส่วน Frequencies Charts นี้ท่านสามารถเลือก Chart Type ว่าต้องการเป็น Charts ชนิดใด ในที่นี้ให้เลือก Bar charts แล้วคลิก Continue
7. เมื่อคลิกปุ่ม Continue จะกลับมาที่กรอบ Frequencies Statistics ดังภาพ จากนั้นคลิกปุ่ม OK ก็เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล

ใบงานที่ 11

ใบงานที่ 11
นายการุญ ปัญจะสุวรรณ์
รหัส 5246701070 ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช


ความรู้สึกที่มีต่อการจัดการเรียนรู้
กับอาจารย์อภิชาต วัชรพันธุ์

คงเป็นโอกาสดีของกระผมอีกครั้งหนึ่งที่ได้เจออาจารย์ และได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์อาจารย์เป็นคนอัธยาศัยดีเยี่ยม มีความรู้เต็มเปี่ยม สอนด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู มุ่งมั่นให้ศิษย์ได้ความรู้ให้มากที่สุด พยายามหาสิ่งดีๆ ความรู้ในหลากหลายเรื่องมานำเสนอ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความ มุ่งมั่น จริงจัง และตั้งใจจริงอาจารย์ อีกไม่นานได้ได้ดีกรีดอกเตอร์อย่างแน่นอน และผมก็จะเป็นคนหนึ่งที่จะไปแสดงความยินดีกับอาจารย์
อาจารย์สนใจและมีความรู้ด้าน ICT ในหลายเรื่อง สามารถเป็นที่ปรึกษาได้ ซึ่งกระผมเองก็มีโอกาสปรึกษาอาจารย์อยู่บ่อยๆ
ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
การุญ ปัญจะสุวรรณ์ 086-6860415

ใบงานที่ 10

ใบงานที่ 10
นายการุญ ปัญจะสุวรรณ์
รหัส 5246701070 ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

ประวัติของนายการุญ ปัญจะสุวรรณ์
ชื่อ นายการุญ ปัญจะสุวรรณ์ ชื่อเล่น ศร
สถานที่เกิด จังหวัดนครศรีธรรมราช
ประวัติการศึกษา
- ประถมศึกษา โรงเรียนวัดท่าเสม็ด อำเภอชะอวด จ.นครศรีธรรมราช
- มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนชะอวด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช
- มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนพัทลุงพิทยาคม จังหวัดพัทลุง
- ระดับปริญญาตรี ครุศาสตรบัณฑิต วิชาเอกคอมพิวเตอร์ศึกษา สถาบันราชภัฏเพชรบุรี
- ระดับปริญญาโท วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต วิชาเอกการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
- ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อในระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช
ประวัติการทำงาน
บรรจุในตำแหน่ง อาจารย์ 1ระดับ 3 โรงเรียนบางสวรรค์วิทยาคม อำเภอพระแสง
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่ง ครู โรงเรียนเทศบาลวัดชัยชุมพล ตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช

ใบงานที่ 9

ใบงานที่ 9
นายการุญ ปัญจะสุวรรณ์
รหัส 5246701070 ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

สรุปคุณลักษณะของผู้บริหารแบบมืออาชีพในยุคปัจจุบัน
1. กล้าตัดสินใจ การตัดสินใจเป็นคุณลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งของนักบริหาร นักบริหารมืออาชีพ ต้องมีข้อมูลที่เพียงพอในการตัดสินใจหรือวินิจฉัยสั่งการ เป็นคนที่สุขุมรอบคอบ มีเหตุมีผลในการตัดสินใจ 2. ไวต่อข้อมูล นักบริหารมืออาชีพ จำเป็นต้องเป็นคนที่ทันสมัย ไวต่อข้อมูลหรือการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ฉะนั้นจำเป็นต้องเป็นผู้ที่ติดตามข่าวสารต่างๆ อยู่เสมอ 3. เพิ่มพูนวิสัยทัศน์ นักบริหารมืออาชีพจะต้องเป็นผู้มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล สามารถมองเห็นภาพ ในอนาคตและแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาได้เป็นอย่างดี
4. ซื่อสัตย์และสร้างสรรค์ผลงาน คือ จะต้องเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีการสร้างสรรค์ผลงาน ให้ปรากฏต่อสายตาเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ
5. ประสานสิบทิศ นักบริหารมืออาชีพจำต้องเป็นบุคคลที่สามารถประสานงานกับ หน่วยงาน หรือบุคคลต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สามารถไกล่เกลี่ยข้อกรณีพิพาทได้ และสามารถ ขจัดปัดเป่าปัญหา ต่างๆ ในหน่วยงานได้
6. คิดสร้างสรรค์วิธีการทำงานใหม่ๆ จะต้องคิดหาวิธีการทำงานแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ 7. จูงใจเพื่อร่วมงาน จำเป็นต้องมีบุคคลที่สามารถโน้มน้าวหรือจูงใจเพื่อนร่วมงาน ให้เกิด
ความกระตือรือร้น ในการทำงาน และมีความรับผิดชอบต่องานสูง ประเมินผล การปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม รู้จักให้การชมเชย ให้รางวัลหรือบำเหน็จ ความชอบ
8. ทนทานต่อปัญหาและอุปสรรค จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อปัญหาอุปสรรคที่กำลังเผชิญ และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อการแก้ไขปัญหาให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยอย่างสันติสุข ไม่หนีปัญหา และไม่หมักหมมปัญหาไว้
9. รู้จักยืดหยุ่นตามเหตุการณ์ นักบริหารมืออาชีพจะต้องรู้จักยืดหยุ่น และอ่อนตัวตามเหตุการณ์นั้นๆ ไม่ตึงเกินไปหรือไม่หย่อนเกินไป บางครั้งก็ต้องดำเนินการในสายกลาง แต่ในบางครั้งต้องมี ความเด็ดขาด
10. บริหารงานแบบมีส่วนร่วม จะต้องบริหารงานแบบให้ทีมงานมีส่วนร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมตัดสินใจ และร่วมรับผิดชอบ

ใบงานที่ 8

ใบงานที่ 8
นายการุญ ปัญจะสุวรรณ์
รหัส 5246701070 ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

ศึกษาเกี่ยวกับการใช้การใช้โปรแกรม SPSS OF WINDOWS ทบทวนพื้นฐานโดยให้สรุปหัวข้อประเด็นดังนี้

1.ความหมายของสถิติ
สถิติมีความหมาย 2 อย่างคือ
1 หมายถึง ตัวเลขหรือกลุ่มของตัวเลขที่แสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใดเช่นสถิติเกี่ยวกับปริมานน้ำฝน สถิติการเกิดอัคคีภัย เป็นต้น
2 หมายถึง วิชาที่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์และศิลป ว่าด้วยการศึกษาที่เกี่ยวกับข้อมูล ซึ่งประกอบด้วย การเก็บรวบรวมข้อมูล ( collection of date) การนำเสนอข้อมูล( presentation of date)
การวิเคราะข้อมูล (analysis of date) ความหมายข้อมูล (interpretation of data )
ในความหมายที่สอง หมายถึง วิธีการที่เริ่มต้นตั้งแต่การเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งมีหลายวิธีเพราะต้องเก็บข้อมูลที่ถูกต้อง เหมาะสม ถ้าได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่เหมาะสมข้อมูลเหล่านี้ย่อมใช้ไม่ได้ หรือใช้ได้แต่เพียงส่วนน้อยข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา จำเป็นจะต้องมีการนำมาจัดใหม่ให้ดูง่ายหรือเป็นระเบียบ การจัดข้อมูลใหม่อาจใช้ตาราง กราฟ หรือรูปภาพขั้นตอนนี้เรียกว่าการนำเสนอข้อมูล
ค่าเฉลี่ย ( Mean) หมายถึง ค่าที่ได้จากการนำคะแนนทั้งหมดมารวมกันแล้วหารด้วยจำนวนคะแนนทั้งหมด
2.ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ค่าฐานนิยม ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มีความหมายว่าอย่างไร และแต่ละค่าเป็นสถิติประเภทใด
ค่าเฉลี่ย (Mean) หรือเรียกว่าค่ากลางเลขคณิต ค่าเฉลี่ย ค่ามัชฌิมเลขคณิต เป็นต้น ความหมายเป็นสถิติเชิงพรรณนา/บรรยาย
มัธยฐาน (Median) คือ คะแนนที่อยู่ตรงกลางที่แบ่งคะแนนออกเป็นสองกลุ่มเท่า ๆ กัน ทำโดยนำคะแนนที่ได้มาเรียงตามลำดับจากมากไปน้อยหรือจากน้อยไปหามาก มักเขียนแทนด้วย Mdn เป็นสถิติเชิงพรรณนา/บรรยาย
ฐานนิยม (Mode) หมายถึงค่าของคะแนนที่มีความถี่สูงสุดของข้อมูลชุดหนึ่ง ๆ ถ้าข้อมูลชุดใดมีค่าความถี่สูงสุดมากกว่า 1 ค่า ข้อมูลชุดนั้นก็มีฐานนิยมมากกว่า 1 ค่า หรือถ้าข้อมูลชุดใดมีค่าความถี่สูงสุดเท่า ๆ กันทุกค่า ข้อมูลนั้นไม่มีฐานนิยม เป็นสถิติเชิงพรรณนา/บรรยาย
3.ประชากรและกลุ่มตัวอย่างมีความหมายต่างกัน กล่าวคือ
ประชากร (Population) หมายถึง หน่วยทุกหน่วย (ซึ่งอาจมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ได้) ที่เรา สนใจเช่น จำนวนคนไทยที่เป็นเพศชาย ประชากรคือคนไทยทุกคนที่เป็นเพศชาย จำนวนรถยนต์ในจังหวัดพิษณุโลก ประชากรคือ รถยนต์ทุกคันที่อยู่ในจังหวัดพิษณุโลก ฯลฯ
กลุ่มตัวอย่าง (Sample) หมายถึง หน่วยย่อยของประชากรที่เราสนใจ เช่น จำนวนรถยนต์ที่วิ่งในจังหวัดพิษณุโลกซึ่งไม่สามารถจัดเก็บได้ทัน จึงต้องใช้ตัวอย่างซึ่งตัวอย่างจะต้องเป็น รถยนต์ที่กำลังวิ่งอยู่ในจังหวัดพิษณุโลก ฯลฯ
4.ข้อมูลระดับนามบัญญัติ (Nominal Scale) หมายถึง ข้อมูลที่แบ่งเป็นกลุ่มเป็นพวก เช่น เพศ อาชีพ ศาสนา ผิวสี ฯลฯ ไม่สามารถนำมาจัดลำดับ หรือนำมาคำนวณได้
-ข้อมูลระดับอันดับ (Ordinal Scale) หมายถึง ข้อมูลที่สามารถแบ่งเป็นกลุ่มได้ แล้วยังสามารถบอกอันดับที่ของความแตกต่างได้ แต่ไม่สามารถบอกระยะห่างของอันดับที่แน่นนอนได้ หรือไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่าอันดับที่จัดนั้นมีความแตกต่างกันของระยะห่างเท่าใด เช่น อันดับที่ของการสอบของนักศึกษา อันดับที่ของผู้เข้าประกวดนางสาวไทย ฯลฯ
-ข้อมูลระดับช่วงชั้น,อันตรภาค (Interval Scale) หมายถึง ข้อมูลที่มีช่วงห่าง หรือระยะห่างเท่าๆ กัน สามารถวัดค่าได้แต่เป็นข้อมูลที่ไม่มีศูนย์แท้ เช่น อุณหภูมิ คะแนนสอบ GPA คะแนน I.Q. ฯลฯ
-ข้อมูลระดับอัตราส่วน (Ratio Scale) หมายถึง ข้อมูลที่มีมาตราวัดหรือระดับการวัดที่สูงที่สุด คือนอกจากสามารถแบ่งกลุ่มได้ จัดอันดับได้ มีช่วงห่างของข้อมูลเท่าๆกันแล้ว ยังเป็นข้อมูลที่มีศูนย์แท้เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง ระยะทาง รายได้ จำนวนต่างๆ ฯลฯ
5.ตัวแปรต้น หรือตัวแปรอิสระ (Independent Variable) เป็นตัวแปรที่เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดผล หรือก่อให้เกิดการแปรผันของปรากฏการณ์ เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดหรือจัดกระทำได้ เพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากตัวแปรนี้
ตัวแปรตาม (Dependent Variable) เป็นตัวแปรที่เป็นผลมากจากการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรอิสระ เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยมุ่งวัดเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับนำมาวิเคราะห ์เพื่อตอบคำถามของการวิจัยว่าเป็นผลมากจากสิ่งใด
6. สมมุติฐาน หมายถึง ข้อความที่ผู้วิจัยคาดหวังหรือคิดเกี่ยวกับความแตกต่างที่อาจจะเป็นไปได้ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ก่อนการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ หรือตอบปัญหาต่าง ๆ โดยอาศัย ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ ฯลฯ เป็นการเสนอคำตอบชั่วคราวของปัญหาที่ยังไม่ได้ทำการตรวจสอบ โดยอาศัยข้อมูลจากการไปตรวจสอบเอกสาร หรือเป็นการเดาอย่างมีเหตุผลซึ่งสมมุติฐานนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นจริงเสมอไป
ประเภทของสมมุติฐาน ในวงการวิจัยนั้น สมมุติฐานมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. สมมุติฐานการวิจัย (Research Hypothesis or Descriptive Hypothesis) เป็นข้อความที่เขียนในลักษณะบรรยาย หรือคาดคะเนคำตอบของการวิจัย ซึ่งข้อความดังกล่าวจะแสดงถึงความเกี่ยวข้องกันของตัวแปรในรูปของความสัมพันธ์ หรือในรูปของความแตกต่างที่ได้คาดคะเนไว้ เช่น การสอนซ่อมเสริมโดยการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทาง
การเรียนวิชาเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สูงกว่าการสอนซ่อมเสริมด้วยวิธีปกติ
2. สมมุติฐานทางสถิติ (Satirical Hypothesis) เป็นสมมุติฐานที่แปลงรูปจากสมมุติฐานการวิจัยมาอยู่ในรูปแบบทางคณิตศาสตร์ โดยมีการแทนค่าด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้น ในกรณีที่ผู้วิจัยรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างและจะอ้างอิงไปสู่กลุ่มประชากร โดยการทดสอบสมมุติฐาน
7. T-test เป็นการทดสอบนัยสำคัญของค่าเฉลี่ย เหมาะสำหรับถ้าตัวแปรเป็นตัวแปรเชิงปริมาณที่สามารถวัดค่าได้
F – test (หรือ ANOVA) เป็นการทดสอบนัยสำคัญของค่าเฉลี่ยตั้งแต่สองกลุ่มขึ้นไป
T-test และ F – test เหมือนกันคือเป็นการทดสอบนัยสำคัญของค่าเฉลี่ย ต่างกันคือ F – test เป็นการทดสอบนัยสำคัญของค่าเฉลี่ยของข้อมูลตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป

ใบงานที่ 7

ใบงานที่ 7
นายการุญ ปัญจะสุวรรณ์
รหัส 5246701070 ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช


(1) การใส่ปฏิทิน (2) การใส่นาฬิกา (3) การทำสไสด์ (4) การปรับแต่งสีใน Webboard (5) การใส่เพลงลงใน Webboard ให้นักศึกษาสรุปแต่ละประเด็นย่อ ๆ
การใส่ ตกแต่งบล๊อก ด้วยปฏิทิน นาฬิกา สไลด์รูปต่างๆ เปลี่ยนสีในรูปแบบ และเพลงนั้น จำเป็นจะต้องใช้โค้ด(ภาษา HTML) ซึ่งเป็นโค้ดที่ต้องเพิ่มใน Gadget ซึ่งเมนูการเพิ่มจะอยู่ที่
แผงควบคุม ---> รูปแบบ ---> เพิ่ม Gadget ---> เพิ่มจาวา/HTML ---> วางโค้ดของปฎิทิน/นาฬิกา/เพลงที่เราได้คัดลอกมาจากโค้ดที่เราค้นหาโดยใช้ Google ---> แล้วสั่งบันทึก ซึ่งจะกลับมาที่หน้ารูปแบบ--->สั่งบันทึกอีกครั้ง--->จะขึ้นข้อความว่าได้"ได้บันทึกการเปลี่ยนแปลงแล้ว ดูบล๊อก" ---> ซึ่งสามารถดูบล๊อกได้ว่าเป็นไปตามที่ต้องการหรือไม่
สำหรับการค้นหาโค้ด โดยใช้ Google นั้น เมื่อเข้าเว็บ Google แล้วใช้คำค้นหา เช่น โค้ดเพลง/โค้ดปฏิทินแต่งบล๊อก/โค้ดนาฬิกา / โค้ดแต่งบล๊อก /หรือระบุเพลงที่ต้องการ เช่น โค้ดเพลงสวัสดีปีใหม่/โค้ดเพลงไทยสากล เพลงลูกทุ่ง/โค้ดเพลง(ชื่อเพลง) เมื่อได้หน้าเว็บGoogle ที่ขึ้นผลการค้นหาแล้ว เลือกเปิดลิงค์ต่าง ๆ ก็จะได้หน้าเว็บเช่น

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โมเดลปลาทู


โมเดลปลาทู

สรุปเนื้อหาการเรียนวิชานวัตกรรมและสารสนเทศครั้งที่ 3-การุญ ปัญจะสุวรรณ์

สรุปองค์ความรู้ สัปดาห์ที่ 3 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2552
นายการุญ ปัญจะสุวรรณ์
รหัส 5246701070
ป.บัณฑิต การบริหารการศึกษา ภาคเรียนที่ 2/2552
มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช
การจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือในการแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ

- ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม
- ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่างๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม

บทบาทใหม่ของการบริหารทุนมนุษย์
การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management) ต่างจากการบริหารทรัพยากรบุคคล ตรงที่เน้นความสำคัญของคุณค่าหรือมูลค่าของคนและสิ่งที่คนในองค์กรผลิตหรือสร้างขึ้นมา แต่ไม่ได้เน้นหน้าที่ด้านการบริหารงานบุคคล ดังนั้น การบริหารทุนมนุษย์จึงเกี่ยวข้องกับการประเมินผลกระทบของกระบวนวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคล (Impact of People Management Practice) และความทุ่มเทพยายามของคนต่อความสำเร็จขององค์กร มืออาชีพหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าการบริหารทรัพยากรบุคคลหมดความสำคัญ และอาจจะไม่จำเป็นต้องทำไป แต่อย่างไรหน้าที่ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลก็ยังคงอยู่ต่อไป แต่ต้องทำอย่างมืออาชีพมากยิ่งขึ้น และต้องมีการปรับบทบาทการบริหารทรัพยากรบุคคลเสียใหม่ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป


ข้อมูล DATA
- ข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการประเมินผล
- กลุ่มของข้อมูลดิบที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
สารสนเทศ (Information )
- ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้ว
- ผลรวมของข้อมูลที่มีความหมายความรู้ (Knowledge)
ผลการขัดเกลาและเลือกใช้สารสนเทศโดยมีการจัดระบบ สร้างเป็นองค์ความรู้ความเฉลียวฉลาด (Wisdom)
การนำเอาความรู้ต่างๆมาบูรณาการเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการทำงานในสาขาวิชาต่างๆเชาว์ปัญญา (Intelligent) ผลการปรับแต่งและความจดจำความเฉลียวฉลาดต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความคิดที่ฉับไว
รูปแบบการจัดการความรู้ ความรู้แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
- ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ
- ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆ
วิธีการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
KM ไม่ทำไม่รู้ เรียนลัดและต่อยอด
โมเดลปลาทู


“ โมเดลปลาทู” เป็นโมเดลอย่างง่าย ของ สคส. ที่เปรียบการจัดการความรู้ เหมือนกับปลาทูหนึ่งตัวที่มี ๓ ส่วน คือ
๑ . ส่วน “ หัวปลา” (Knowledge Vision- KV) หมายถึง ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทำจัดการความรู้ ต้องตอบให้ได้ว่า “ เราจะทำ KM ไปเพื่ออะไร ?” โดย “ หัวปลา” นี้จะต้องเป็นของ “ คุณกิจ” หรือ ผู้ดำเนินกิจกรรม KM ทั้งหมด โดยมี “ คุณเอื้อ” และ “ คุณอำนวย” คอยช่วยเหลือ
๒ . ส่วน “ ตัวปลา” (Knowledge Sharing-KS) เป็นส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่ง “ คุณอำนวย” จะมีบทบาทมากในการช่วยกระตุ้นให้ “ คุณกิจ” มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ซ่อนเร้นที่มีอยู่ในตัว “ คุณกิจ” พร้อมอำนวยให้เกิดบรรยากาศในการเรียนรู้แบบเป็นทีม ให้เกิดการหมุนเวียนความรู้ ยกระดับความรู้ และเกิดนวัตกรรม
๓ . ส่วน “ หางปลา” (Knowledge Assets-KA) เป็นส่วนของ “ คลังความรู้” หรือ “ ขุมความรู้” ที่ได้จากการเก็บสะสม “ เกร็ดความรู้” ที่ได้จากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “ ตัวปลา” ซึ่งเราอาจเก็บส่วนของ “ หางปลา” นี้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ICT ซึ่งเป็นการสกัดความรู้ที่ซ่อนเร้นให้เป็นความรู้ที่เด่นชัด นำไปเผยแพร่และแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไป
Knowledge Vision Knowledge Assets Knowledge Sharing KVKSKA ส่วนหัว ส่วนตามองว่ากำลังจะไปทางไหนต้องตอบได้ว่า “ ทำ KM ไปเพื่ออะไร”
กระบวนการจัดการความรู้
1. กำหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้
2. แสวงหาความรู้
3. จัดเก็บ และศึกษาหาความรู้
4. การสร้างความรู้
5. การประมวลและกลั่นกรองความรู้
6. การถ่ายโอนและกลั่นกรองความรู้
7. การแบ่งความรู้
การวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้
1. การจับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
2. การวิเคราะห์ความรู้ที่จับได้
3. การตรวจสอบความถูกต้องของความรู้
4. การสังเคราะห์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
CoP(Community of Practice)
ชุมชนนักปฏิบัติ คือ อะไร คือ ชุมชนที่มีการรวมตัวกัน หรือเชื่อมโยงกันอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีลักษณะดังนี้
- ประสบปัญหาลักษณะเดียวกัน
- มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน ต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากกันและกัน
- มีเป้าหมายร่วมกัน มีความมุ่งมั่นร่วมกัน ที่จะพัฒนาวิธีการทำงานได้ดีขึ้น
- วิธีปฏิบัติคล้ายกัน ใช้เครื่องมือ และภาษาเดียวกัน
- มีความเชื่อ และยึดถือคุณค่าเดียวกัน
- มีบทบาทในการสร้าง และใช้ความรู้
- มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกันและกัน อาจจะพบกันด้วยตัวจริง หรือผ่านเทคโนโลยี
-มีช่องทางเพื่อการไหลเวียนของความรู้ ทำให้ความรู้เข้าไปถึงผู้ที่ต้องการใช้ได้ง่าย
- มีความร่วมมือช่วยเหลือ เพื่อพัฒนาและเรียนรู้จากสมาชิกด้วยกันเอง
- มีปฏิสัมพันธ์ต่อเนื่อง มีวิธีการเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่สายในทางสังคม
ทำให้เพิ่มพูนความรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ในระดับที่ง่ายที่สุด ชุมชนนักปฏิบัติ คือ คนกลุ่มเล็กๆ ซึ่งทำงานด้วยกันมาระยะหนึ่ง มีเป้าหมายร่วมกัน และต้องการที่จะแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์จากการทำงาน กลุ่มดังกล่าวมักจะไม่ได้เกิดจากการจัดตั้งโดยองค์การ เป็นกลุ่มที่เกิดจากความต้องการทางสังคม และความพยายามที่จะทำให้บรรลุผลสำเร็จ เป็นกลุ่มที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีการกำหนดไว้ในแผนภูมิโครงสร้างองค์กร และอาจจะมีเป้าหมายที่ขัดแย้งกับผู้นำองค์กร ในหนึ่งองค์กรอาจจะมีชุมชนนักปฏิบัติจำนวนมาก และคนคนหนึ่งจะเป็นสมาชิกในหลายชุมชน ชุมชนนักปฏิบัติมีความสำคัญอย่างไร เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ เกิดจากความใกล้ชิด ความพอใจ และพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน ลักษณะที่ไม่เป็นทางการจะเอื้อต่อการเรียนรู้ และการสร้างความรู้ใหม่ๆ มากกว่าโครงสร้างที่เป็นทางการ คำว่า ปฏิบัติ หรือ practice ใน CoP ชี้จุดเน้นที่ การเรียนรู้ซึ่งได้รับจากการทำงาน เป็นหลัก เป็นแง่มุมเชิงปฏิบัติ ปัญหาประจำวัน เครื่องมือใหม่ๆ พัฒนาการในเรื่องงาน วิธีการทำงานที่ได้ผล และไม่ได้ผล การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทำให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้ฝังลึก สร้างความรู้ และความเข้าใจได้มากกว่าการเรียนรู้ จากหนังสือ หรือการฝึกอบรมตามปกติ เครือข่ายที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งมีสมาชิกจากต่างหน่วยงาน ช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ดีกว่า การสื่อสารตามโครงสร้างที่เป็นทางการ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับชุมชนนักปฏิบัติ
อุปสรรคของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
- ไม่พูด ไม่คุย
- ไม่เปิด ไม่รับ
- ไม่ปรับ ไม่เรียน
- ไม่เพียร ไม่ทำ
คลังความรู้ (Knowledge Assets) ประกอบด้วย 3 ส่วน
1.เรื่องเล่าหรือคำพูดที่เร้าใจ + 2. การถอดบทเรียนที่ได้ + 3. แหล่งข้อมูลบุคคลอ้างอิง (Tacit Knowledge) (Explicit Knowledge) (References)
ข้อควรระวังในการทำ KS
- ให้ share "เรื่องเล่า" ไม่ใช่ share "ความคิด"
- เป็น Storytelling ไม่ใช่ Problem-solving ไม่ใช่ Planning
- share แล้วต้อง Learn และ Learn แล้วต้อง Lead (นำ)
...นำสู่การกระทำ
...นำสู่ภาพที่ต้องการ
"ทุกความสำเร็จในองค์กร ย่อมมาจากกลยุทธ์การวางแผน การปฏิบัติ และการจัดการอย่างมืออาชีพ"


การจัดการความรู้
บทบาทใหม่ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
1. ผู้ดูแลทุนมนุษย์ ( Human Capital Steward )
2. ผู้ประสานสัมพันธ์ ( Knowledge Facilitator )
3. ผู้อำนวยความรู้ ( Relationship Bulder )
4. ผู้มีอาชีพที่เฉพาะ ( Raped Deployment Sepecidist )
ความรู้คืออะไร
1. Knowledge Capital เป็นต้นทุน องค์กร ทรัพยากรมนุษย์
2. ความสามารถในการทำให้สารสนเทศ และข้อมูลมาเป็นการกระทำที่มีประสิทธิภาพได้
3. ส่วนผสมของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สารสนเทศ และความเชี่ยวชาญ
ข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ ความเฉลียวฉลาด และเชาว์ปัญญา
ข้อมูล ข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผล กลุ่มของข้อมูลดิบที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
สารสนเทศ ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการประมวลผลแล้ว ผลรวมของข้อมูลที่มีความหมาย
ความรู้ ผลจากการขัดเกลาและเลือกใช้สารสนเทศโดยมีการจัดระบบความคิด เกิดเป็นความรู้ และความเชี่ยวชาญ
ความเฉลียวฉลาด การนำเอาความรู้ต่างๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อทำงานในสาขาต่างๆ
เชาว์ปัญญา ผลจากการปรับแต่งและจดจำความเฉลียวฉลาดต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความคิดที่ฉับไว
รูปแบบของความรู้
ประเภทของความรู้กับการจัดการรู้
ความรู้อาจแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
ความรู้เด่นชัด (Explicit Knowledge) คือ ความรู้ที่อยู่ในรูปแบบที่เป็นเอกสาร หรือ วิชาการ อยู่ในตำรา การจัดการจะเน้นการเข้าถึงแหล่งความรู้ ตรวจสอบและตีความได้ เมื่อนำไปใช้จะเกิดความรู้ใหม่ เพื่อให้ผู้อื่นใช้อ้างอิงต่อไป
ความรู้ซ่อนเร้น (Tacit Knowledge) เป็นความรู้แฝงอยู่ในตัวคน เป็นประสบการณ์ที่สั่งสม มายาวนาน เป็นภูมิปัญญา การจัดการความรู้แบบนี้ จะเน้นที่การจัดเวทีเพื่อให้มีการแบ่งปันความรู้ที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน อันนำไปสู่ความรู้ใหม่ที่จะนำไปใช้งานต่อไป
ซึ่งในสภาพความเป็นจริง ความรู้ทั้ง 2 ประเภทเหล่านี้ มีการสับเปลี่ยนสภาพกันตลอดเวลา การจัดการความรู้ จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพความรู้เช่น
โมเดลปลาทู
การจัดการความรู้ในรูปแบบของ “โมเดลปลาทู” ที่แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัวปลา หรือส่วนของเป้าหมายของการจัดการความรู้ (Knowledge Management Vision), ส่วนของตัวปลา หรือส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Knowledge Sharing) และส่วนของหางปลา หรือตัวคลังความรู้ (Knowledge Assets)



กระบวนการจัดการความรู้
1. กำหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้
2. แสวงหาความรู้
3. จัดเก็บ และศึกษาหาความรู้
4. การสร้างความรู้
5. การประมวลและกลั่นกรองความรู้
6. การถ่ายโอนและกลั่นกรองความรู้
7. การแบ่งความรู้
การวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้
1. การจับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
2. การวิเคราะห์ความรู้ที่จับได้
3. การตรวจสอบความถูกต้องของความรู้
4. การสังเคราะห์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

สร้างระบบสารสนเทศจัดการเรียนรู้
การจัดเก็บความรู้เป็นระบบ
การค้นหาและเรียกใช้ความรู้
การให้ความรู้ร่วมกันและการกระจายความรู้
ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน
COP ย่อมาจาก Community of Practice หมายถึง ชุมชนนักปฏิบัติ หรือ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่รวบรวมกลุ่มคนที่มีความรู้ความสนใจในเรื่องเดียวกัน มาร่วมแลกเปลี่ยน แบ่งปัน เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ ร่วมกัน เพื่อได้มาซึ่ง Knowledge Assets : KA หรือ ขุมความรู้ ในเรื่องนั้น ๆ สำหรับคนในชุมชนเพื่อไปทดลองใช้ แล้วนำผลที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสมาชิก อันส่งผลให้ความรู้นั้น ๆ ถูกยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านการปฏิบัติ ประยุกต์ และปรับใช้ตามแต่สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่หลากหลาย อันทำให้งานบรรลุผลดีขึ้นเรื่อย ๆ
COP เป็น 1 ใน เครื่องมือของการจัดการความรู้ (KM Tools) ประเภท Non-Technical Tools สำหรับการดึงความรู้ประเภท Tacit Knowledge หรือ ความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน
ลักษณะที่สำคัญของ COP
• กลุ่มคนที่รวมตัวกันโดยมีความสนใจและความปรารถนา (Passion) ร่วมกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (มี Knowledge Domain)
• ปฏิสัมพันธ์และสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม เป็นชุมชน (community) ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
• แลกเปลี่ยนและพัฒนาความรู้ร่วมกัน ต้อง Practice และสร้างฐานข้อมูล ความรู้ หรือแนวปฏิบัติ

ประโยชน์ของ COP

ระยะสั้น
• เวทีของการแก้ปัญหา ระดมสมอง
• ได้แนวคิดที่หลากหลายจากกลุ่ม
• ได้ข้อมูลมากขึ้นในการตัดสินใจ
• หาทางออก/คำตอบที่รวดเร็ว
• ลดระยะเวลา และการลงทุน
• เกิดความร่วมมือ และการประสานงานระหว่างหน่วยงาน
• ช่องทางในการเข้าหาผู้เชียวชาญ
• ความมั่นใจในการเข้าถึงและแก้ปัญหา
• ความผูกพันในกรเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
• ความสนุกที่ได้อยู่กับเพื่อนร่วมงาน
• ได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายกัน รวมทั้งอาจกำลังเผชิญปัญหาที่คล้ายคลึงกัน เมื่อได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์จะทำให้ค้นพบวิธีแก้ปัญหา

ระยะยาว
• เสริมสร้างวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ขององค์กร
• เกิดความสามารถที่ไม่คาดการณ์ไว้
• วิเคราะห์ความแตกต่างและตั้งเป้าหมายการปรับปรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• แหล่งรวบรวมและเผยแพร่วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ
• เกิดโอกาสพัฒนาองค์กรอย่างก้าวกระโดด
• เครือข่ายของกลุ่มวิชาชีพ
• ชื่อเสียในวิชาชีพเพิ่มขึ้น
• ได้รับผลตอบแทนจากการจ้างงานสูงขึ้น
• รักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรได้
• เพิ่มโอกาสในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในองค์กร
• ขับเคลื่อนให้องค์กรบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์

แนวคิดเกี่ยวกับการจัดนวัตกรรมและสารสนเทศของสถานศึกษา

ในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคของเทคโนโลยีข่าวสาร มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยบริหารจัดการด้านต่างๆในทุกๆที่ ไม่เว้นแม้แต่สถานศึกษา เพื่อเอื้อต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ เป็นคนเก่ง คนดี อยู่ในสังคมอย่างมีความสุขและก้าวทันเทคโนโลยี
ซึ่งการนำเทคโนโลยีสารสนเทศดังกล่าวมาใช้บริหารจัดการในสถานศึกษา จะเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่จะผลักดันการจัดการศึกษาไปสู่ทิศทางที่ต้องการได้ โรงเรียนเทศบาล วัดชัยชุมพล สังกัดเทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช สังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย มีการจัดการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6 เป็นโรงเรียนขนาดกลางที่มีนักเรียน 1,333 คน (ปี พศ.2552 ) ซึ่งนับว่าเป็นสถานศึกษาที่มีบุคลากรมากพอควร แต่ปัจจุบันการบริหารจัดการสารสนเทศยังมีปัญหาหลายอย่างเช่น ข้อมูลบุคลากร งานทะเบียนรายบุคคลของนักเรียน และการวัดผลประเมินผล ยังใช้การประมวลผลด้วยมือ ไม่มีฐานข้อมูลที่จะอำนวยความสะดวกในการใช้งาน ทำให้ครู อาจารย์ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องต้องทำงานที่ซ้ำซ้อน การจัดทำสารสนเทศต่างๆ การออกรายงานหรือผลการเรียน ต้องใช้เวลาในการจัดทำค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่ต้องใช้การคำนวณ ทำให้เสี่ยงต่อการผิดพลาด อีกทั้งเมื่อผู้บริหารสถานศึกษาต้องการใช้ข้อมูลและสารสนเทศที่จำเป็นในการวางแผนบริหารจัดการ พบว่าต้องใช้เวลาในการค้นหาค่อนข้างมาก เพราะข้อมูลยังกระจัดกระจายอยู่หลายส่วนและไม่เป็นปัจจุบัน นอกจากนี้การดูผลการเรียนของนักเรียน ผู้ปกครองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องบางครั้งยังไม่สะดวกและเกิดความล่าช้าอีกด้วย
จากสภาพความเป็นจริงและปัญหาทั้งหมด ทำเห็นว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาคือ ขาดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยบริหารจัดการ ทำให้ข้อมูลขาดความเป็นปัจจุบัน ครู
และบุคลากรที่เกี่ยวข้องที่มีภาระมากอยู่แล้ว ยังต้องมาทำงานที่ซ้ำซ้อน ทำให้ส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษาในภาพรวม
เพื่อให้การดำเนินงานบริหารจัดการสารสนเทศ การวัดผลประเมินผลของนักเรียน รวมทั้งการรับทราบผลการเรียนของนักเรียนมีความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ สอดคล้องกับแนวทางปฏิรูปการศึกษาในยุคปัจจุบัน จึงมีความจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศทางด้านคอมพิวเตอร์มาช่วยในการบริหารจัดการ


วัตถุประสงค์
1) เพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการข้อมูลบุคลากร งานทะเบียนของนักเรียน
การบันทึกผลการเรียน การประเมินผลการเรียน และการรายงานผลการเรียน
ของนักเรียนเป็นระบบอัตโนมัติ
2) เพื่อพัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลบุคลากร นักเรียน และการวัดผลประเมินผล
อย่างมีประสิทธิภาพ
3) สร้างข้อมูลสารสนเทศสำหรับผู้บริหารในการบริหารงานในระดับองค์กร
4) สร้างโปรแกรมเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ครูและผู้เกี่ยวข้องในการดูรายงานต่างๆ
รวมถึงนักเรียนและผู้ปกครอง สามารถตรวจสอบผลการเรียนผ่านเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ได้
สามารถจัดการข้อมูลต่อไปนี้
ก. การจัดการข้อมูลพื้นฐาน
เป็นการจัดทำระบบที่สามารถบันทึก และจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็น
สำหรับการจัดการเรียนการสอน และสามารถปรับปรุงแก้ไขข้อมูลเหล่านี้ได้ตามความจำเป็น ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานสำหรับบันทึกประวัติส่วนตัว เช่น คำนำหน้าชื่อ สัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา หรือข้อมูลพื้นฐานในการวัดผลประเมินผล เช่น เกณฑ์การประเมินผล เกณฑ์การจบช่วงชั้น ข้อมูลพื้นฐานโรงเรียน ฯลฯ
ข. การจัดการข้อมูลบุคลากร
เป็นการจัดทำระบบที่สามารถจัดเก็บข้อมูลประวัติส่วนตัวของครู ให้เพิ่ม ลบ แก้ไขและค้นหาข้อมูลครูได้ โดยจะทราบได้ว่าครูคนใดประจำชั้นห้องใดหรือสอนวิชาอะไรในแต่ละปีการศึกษา
ค. การจัดการข้อมูลนักเรียน
เป็นการจัดทำระบบที่สามารถจัดเก็บข้อมูลประวัติของนักเรียน ให้เพิ่ม ลบ แก้ไข หรือค้นหาข้อมูลนักเรียนในแต่ละห้องเรียนตามปีการศึกษาต่างๆได้
ง. การจัดการวิชาเรียน ประกอบด้วย
1) การจัดทำระบบที่สามารถจัดเก็บข้อมูลวิชาเรียน ให้สามารถเพิ่ม
ลบ แก้ไข หรือค้นหาวิชาเรียนทั้งหมดได้
2) จัดทำระบบที่สามารถเพิ่ม ลบ แก้ไข หรือค้นหาวิชาที่เปิดสอนใน
แต่ละปีการศึกษาได้
3) จัดทำระบบที่สามารถเพิ่ม ลบ แก้ไข หรือค้นหาครูผู้สอนประจำ
วิชาในแต่ละปีการศึกษาได้
จ. การจัดการผู้ใช้งานระบบ
ระบบมีการแบ่งระดับการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มผู้ใช้ต่างๆในการเข้าถึงข้อมูลที่ต่างกันคือ ผู้ดูแลระบบ เจ้าหน้าที่ทะเบียนและวัดผล ครูประจำชั้น ครูผู้สอน ผู้บริหาร นักเรียนและผู้ปกครอง

การจัดการผลการเรียน มีขอบเขตดังนี้
ก. จัดทำระบบที่สามารถบันทึกผลการเรียนแต่ละรายวิชาหรือรายคนผ่านทาง
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ และส่งผลการเรียนของนักเรียนโดยอัตโนมัติ
ข. ระบบมีการแบ่งระดับการเข้าถึงการจัดการผลการเรียน โดยกลุ่มผู้ใช้ใน
ระดับต่างๆเช่น ครูผู้สอนสามารถบันทึกผลการเรียนเฉพาะรายวิชาที่สอน
ครูประจำชั้นสามารถตรวจสอบผลการเรียนของนักเรียน เฉพาะนักเรียน
ในห้องที่ประจำชั้น ส่วนเจ้าหน้าที่ทะเบียนและวัดผลสามารถบันทึก
ผลการเรียน ทั้งรายวิชาและรายคนทุกชั้นเรียน
ค. นักเรียนและผู้ปกครองสามารถตรวจสอบผลการเรียน ผ่านทางเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ได้

การสร้างรายงาน มีขอบเขตดังนี้
ก. สามารถสร้างรายงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลครู ข้อมูลนักเรียน หรือข้อมูล
วิชาเรียนที่เป็นปัจจุบันเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดการศึกษา หรือด้านอื่นๆ
ที่เป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน
ข. สามารถสร้างรายงานผลการเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
รายชั้นเรียนหรือแยกตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพื่อให้ครูและผู้บริหารนำ
ไปใช้ในการบริหารจัดการในสถานศึกษาได้
ค. สามารถพิมพ์เอกสารที่ใช้เป็นหลักฐานในการประเมินผล ตามหลักสูตร
การศึกษาเช่นระเบียนแสดงผลการเรียน และใบรับรองผลการศึกษา

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. สถานศึกษาสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการบริหารจัดการได้
2. อำนวยความสะดวกแก่ครูและผู้เกี่ยวข้องในการประเมินผลการเรียน การบันทึก
ผลการเรียน และการรายงานผลการเรียน

3. อำนวยความสะดวกให้กับนักเรียน ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการตรวจสอบ
ผลการเรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
4. ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการบริหารได้อย่างสะดวก
รวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ
5. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสถานศึกษา และสอดคล้องกับนโยบายปฏิรูปการศึกษา
ผลที่ได้รับเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
1. ระบบสารสนเทศที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนและวัดผล ใช้ในการจัดการงานทะเบียน
และวัดผล
2. ระบบสารสนเทศที่ใช้จัดการและการประมวลผลการเรียนของนักเรียน ในระดับ
ประถมศึกษา
3. ระบบสารสนเทศสำหรับครูผู้สอน ครูประจำชั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนและวัดผล
เพื่อใช้บริหารจัดการเกี่ยวกับข้อมูลสารสนเทศส่วนตัวและผลการเรียนของนักเรียน
4. ระบบสารสนเทศสำหรับนักเรียนและผู้ปกครอง ในการตรวจสอบผลการเรียนผ่าน
ทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์
5. แบบฟอร์มในการสร้างรายงานต่างๆที่เกี่ยวกับข้อมูลครู ข้อมูลนักเรียน ข้อมูล
วิชาเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับครู เจ้าหน้าที่ทะเบียนวัดผล และ
ผู้บริหาร รวมทั้งสร้างเอกสารการจบการศึกษาของนักเรียนได้















สถาปัตยกรรมของระบบจัดการศึกษา โรงเรียนเทศบาลวัดชัยชุมพล

ความหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมทางการศึกษา

งานครั้งที่ 
นายการุญ ปัญจะสุวรรณ์
รหัส 5246701070
ประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา

อธิบายความหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและสารสนเทศ

1. การจัดการ หมายถึง ชุดของหน้าที่ต่าง ๆ ที่กำหนดทิศทางในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทั้งหลายอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Efficient) หมายถึง การใช้ทรัพยากรอย่างเฉลียวฉลาด และคุ้มค่า ส่วนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิผล (Effective) หมายถึงการตัดสินใจอย่างถูกต้อง และมีการปฏิบัติการได้สำเร็จตามแผนที่กำหนดไว้ ดังนั้น ผลสำเร็จของการจัดการต้องมีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลควบคู่กันไป
การบริหาร หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมมือกันดำเนินการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายๆอย่างที่บุคคลร่วมกันกำหนดโดยใช้กระบวนอย่างมีระบบและให้ทรัพยากรตลอดจนเทคนิคต่างๆ อย่างเหมาะสม (สมศักดิ์ คงเที่ยง , 2542 : 1)
2. นวัตกรรม หมายถึง ความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำนวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย
3. เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational Technology) ตามรูปศัพท์ เทคโน (วิธีการ) + โลยี(วิทยา) หมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนำวิธีการ มาปรับปรุงประสิทธิภาพของการศึกษาให้สูงขึ้นเทคโนโลยีทางการศึกษาครอบคลุมองค์ประกอบ 3 ประการ คือ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ (boonpan edt01.htm)
4. ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริง หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ เช่น บุคคล สิ่งของสถานที่ ฯลฯ ข้อมูลเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องข้อมูลต้องถูกต้องแม่นยำครบถ้วนขึ้นอยู่กับผู้ดำเนินการที่ให้ความสำคัญของความรวดเร็วของการเก็บข้อมูล
5. สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ หรืออาจกล่าวได้ว่า สารสนเทศ เกิดจากการนำข้อมูล ผ่านระบบการประมวลผล คำนวณ วิเคราะห์และแปลความหมายเป็นข้อความที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น สารสนเทศที่เป็น ความรู้ที่เกิดจากวิทยุ โทรศัพท์มือถือ ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ รอบตัวเราซึ่งอาจมาจาก วิทยุ โทรทัศน์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ดาวเทียม โทรศัพท์ เครื่องจักร ที่เกี่ยวกับสารสนเทศได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่ เช่น การฝาก ถอนเงินผ่านเครื่อง ATM การจองตั๋วเครื่องบิน การลงทะเบียน ฯลฯ
6. ระบบสารสนเทศ (Information System ) หมายถึง ระบบที่มีการนำคอมพิวเตอร์
มาช่วยในการรวบรวม จัดเก็บ หรือจัดการกับข้อมูลข่าวสารเพื่อให้ข้อมูลนั้นกลายเป็น
สารสนเทศที่ดี สามารถนำไปใช้ในการประกอบการตัดสินใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว
และถูกต้อง
7. ระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา หมายถึง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานด้านการศึกษา อันได้แก่ การจัดเก็บข้อมูล และประมวลผลฐานข้อมูล การพัฒนาระบบสารสนเทศ ช่วยการเรียนการสอน การวางแผนและการบริหารการศึกษา การวางแผนหลักสูตร การแนะแนวและบริการ การทดสอบวัดผล การพัฒนาบุคลากร
8. การสื่อสาร (Communication) หมายถึง กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ
9. เครือข่าย หมายถึง กลุ่มของคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันดังนั้นเครือข่ายคอมพิวเตอร์จึงประกอบด้วยสื่อการติดต่อสื่อสาร อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 ระบบเข้าด้วยกัน รวมทั้งอุปกรณ์อื่น ๆ
10. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมายถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับข่าวสาร ข้อมูลและการสื่อสารนับตั้งแต่การสร้าง การนำมาวิเคราะห์ หรือประมวลผลการรับและส่งข้อมูล การจัดเก็บและการนำไปใช้ใหม่ เทคโนโลยีเหล่านี้ มักจะหมายถึง คอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ (hardware) ส่วนคำสั่ง (software) และส่วนข้อมูล (data) และระบบการสื่อสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ระบบสื่อสารข้อมูล ดาวเทียม หรือเครื่องมือสื่อสารใดๆ ทั้งมีสายและไร้สาย
11. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา หมายถึง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับข่าวสาร ข้อมูลและการสื่อสารสารสนเทศกับงานด้านการศึกษา อันได้แก่ การจัดเก็บข้อมูล และประมวลผลฐานข้อมูล การพัฒนาระบบสารสนเทศช่วยการเรียนการสอน การวางแผนและการบริหารการศึกษา การวางแผนหลักสูตร การแนะแนวและบริการ การทดสอบวัดผล การพัฒนาบุคลากร ซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการสื่อสารนั้น จะมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของใช้งาน เช่น บางครั้งอาจจะใช้เทคโนโลยีดาวเทียม เครื่อข่ายอินเตอร์เน็ต ระบบ e-Learning หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีความจำเป็นในการพัฒนาการศึกษา

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552